ความจริงที่คนไทยไม่เคยรู้ และยากที่จะรู้ แต่สามารถรู้ได้
โดย ม.ล. กรกสิวัฒน์ เกษมศรี
________________________________________________________________________________
1. ประเทศไทยผลิตน้ำมันดิบ ติดอันดับ 33 ของโลก
ข้อมูลของรัฐบาลประเทศสหรัฐอเมริกา EIA ได้จัดอันดับไทยให้อยู่่ลำดับที่ 24 ของโลกในการผลิตก๊าซธรรมชาติ และลำดับที่ 33 ของโลกในการผลิตน้ำมัน   จากประเทศที่ผลิตน้ำมันกว่า 200 ประเทศ โดยสูงกว่าประเทศบรูไนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเศรษฐีน้ำมัน
แต่ทำไมส่วนแบ่ง
ผลประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมของไทยจึงต่ำที่สุดในกลุ่มอาเซียน 
และต่ำกว่าประเทศที่สูบน้ำมันและก๊าซได้น้อยกว่าประเทศไทย เช่น 
พม่าหรือกัมพูชา ???
 สาเหตุเพราะ  ประเทศไทยไม่เคยเจาะสำรวจปริมาณสำรองของแหล่งพลังงาน ทำให้
 ไม่มีข้อมูล โดย
ตรง จึงต้องเชื่อข้อมูลที่ได้รับสัมปทานโดยตรง ฝ่ายเดียว 
ซึ่งต่างจากประเทศอื่นที่ต้องสำรวจศักยภาพปิโตรเลียมก่อนแล้วจึงให้สัมปทาน
การที่มาอ้างว่าไม่มีงบประมาณ
 ทั้งๆที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากว่า 20 ปี 
มูลค่าก๊าซและน้ำมันดิบที่สูงกว่า 3.4 ล้าน ล้าน บาท 
ก็จะสูงกว่าค่าขุดเจาะมาก คือเสียเพียง 3.4 หมื่นล้านบาท  
(ซึ่งคิดเป็นเพียง 1%ของรายได้ที่ควรได้ ) แต่กลับไม่ทำ 
ในขณะที่กัมพูชายังจ้างบริษัทที่ปรึกษาถึง2บริษัทเพื่อมาประเมินศักยภาพ
ปิโตรเลียมในประเทศตน (แต่ไทยไม่ทำ)
2. น้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติบนขวานทองของไทย
ปิโตรเลียม (ก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบ) ของประเทศไทย 
มีทั้งบนบกและในทะเล (ข้อมูลที่ยืนยันคือประเทศไทย พบซากฟอสซิลไดโนเสาร์ 
จำนวนมาก แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่) 
ข้อมูลจากองค์กรกลุ่มโอเปกในรายงานประจำปี (Annual Statistical Bulletin 
2010/2011) ระบุว่าไทยมีก๊าซธรรมชาติ มากกว่า กลุ่มประเทศโอเปก 8 ประเทศ
ทุกวันนี้ประเทศไทยมีบ่อผลิตน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ 2768 แห่ง
 แหล่งปิโตรเลียม 
 | 
 ล้านลิตรต่อปี 
 | 
 แหล่งน้ำมันสิริกิติ์ (กำแพงเพชร สุโขทัย พิษณุโลก นครสวรรค์) 
 | 
 2,000  ล้านลิตรต่อปี 
 | 
 แหล่งเพชรบูรณ์ 
 | 
 94  ล้านลิตรต่อปี 
 | 
 แหล่งสุพรรณบุรี 
 | 
 90  ล้านลิตรต่อปี 
 | 
 แหล่งเชียงใหม่ 
 | 
 60  ล้านลิตรต่อปี 
 | 
 แหล่งในทะเล เช่น แหล่งบงกช 
 | 
 10,000   ล้านลิตรต่อปี 
 | 
3. ประเทศไทยผลิตก๊าซธรรมชาติ ติดอันดับ 24 ของโลก
 ปัจจุบัน ราชการอ้างว่า ปิโตรเลียมบ่อเล็กกำลังจะหมด 
แต่จากรายงานประจำปีของกระทรวงพลังงาน พบว่า 
ปริมาณน้ำมันปิโตรเลียมที่ขุดได้กลับเพิ่มขึ้นตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่าน
มา ข้อมูลการขุดน้ำมันในเดือนพฤษภาคม 2555 คือ 1ล้านบาร์เรล หรือ 160 
ล้านลิตรต่อวัน 
Census Bureau (หน่วยงาน กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ) 
จัดประเทศไทย ให้อยู่ในกลุ่ม World Major Producer ของก๊าซธรรมชาติ 
ติดอันดับการผลิตน้ำมัน Top 15% ของโลก 
แต่ผลประโยชน์ที่กลับคืนสู่ประเทศไทยกลับต่ำกว่า 
ประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตที่ต่ำกว่า
ที่ประเทศสหรัฐ 
จะมีการทำข้อมูลทรัพยากรปิโตรเลียมอย่างโปร่งใส 
มีหน่วยงานกลางคอยเก็บข้อมูลเพื่อป้องกันการสร้างผลประโชน์ทับซ้อยของคน
บางกลุ่ม นอกจากนั้นสหรัฐ ยังมีระบบที่สามารถตรวจสอบและถ่วงดุลกันได้ 
ในขณะที่ประเทศไทยกลับเอาผู้มีผลประโยชน์ทางด้าน
พลังงาน ไปนั้งกำกับดูแลธุรกิจพลังงาน 
และคนดูแลเก็ยข้อมูลพลังงานกลับมีผลประโยชน์ร่วมกับผู้รับสัมปทาน  
ทำให้งบการเงินของบริษัทขุดเจาะและผู้ค้าน้ำมัน 
มีกำไรมหาศาลจากปิโตรเลียมของไทย เป็นหลายแสนล้าน
4. สหรัฐนำเข้า น้ำมันดิบจากไทย แต่ขายถูกกว่าไทยลิตรละ 10 บาท
คนไทยใช้น้ำมันเบนซิน ดีเซลเพียง 73-75 ล้านลิตร 
ซึ่งเป็นอัตราคงที่มากว่า 8 ปีแล้ว ไทยส่งออกน้ำมันดิบชั้นดี มีมลภาวะต่ำ 
ไปขายสหรัฐ  มีข้อมูลในเวบของ Census Bureau (http://www.census.gov) ซึ่งเป็นหน่วยงานของกระทรวงพาณิชย์ สหรัฐ ระบุชัดเจนว่า สหรัฐนำเข้าน้ำมันดิบจากไทยมานานแล้ว
ปี 2551 ไทยส่งออกปิโตรเลียม (น้ำมันสำเร็จรูป 
น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติเหลว) รวมเกือบ 300,000 ล้านบาทหรือประมาณ 9,000 
ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นมูลค่าที่มากกว่าข้าวและยางพารา
ต้นเดือน มกราคมปี 2555 
ไทยส่งออกน้ำมันดิบไปสหรัฐมาถึง 1.2 ล้านบาร์เรล 
แต่ราคาน้ำมันเบนซินหน้าปั้มของสหรัฐ 
กลับมีราคาถูกกว่าน้ำมันเบนซินที่ขายในไทยถึงลิตรละ 10-14 บาท 
ทั้งๆที่สหรัฐเป็นประเทศการค้าเสรี ที่บริษัทพลังงานไม่อุดหนุนราคาน้ำมัน 
ดังนั้นแม้สหรัฐจะขายในราคานี้ สหรัฐก็ยังมีกำไรแน่นอน
Assessment of Undiscovered Oil and Gas Resources of Southeast Asia, 2010
http://pubs.usgs.gov/fs/2010/3015/pdf/FS10-3015.pdf
5. ประเทศไทยให้สัมปทานขุดน้ำมันถูกที่สุดแต่ราคาน้ำมัน กลับแพงที่สุดในอาเซียน
นอกจากนี้ ประเทศไทย 
ยังส่งน้ำมันดิบไปขายให้แก่ประเทศเกาหลีใต้และสิงคโปร์อีกด้วย  
ปรากฏว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ให้สัมปทานน้ำมันถูกที่สุด 
แต่ราคาน้ำมันที่คนไทยซื้อกลับแพงที่สุด
 ประเทศ 
 | 
 ราคาน้ำมันเบนซิน 95 
 | 
 ไทย 
 | 
 44.86  บาท (แพงที่สุด) 
 | 
มาเลเซีย  
 | 
 19 บาท 
 | 
 อินโดนีเซีย 
 | 
 31.10 บาท 
 | 
 พม่า 
 | 
 24 บาท 
 | 
แต่ผลประโยชน์จากปิโตรเลียมที่ไทยเก็บได้ 
เป็นเพียงร้อยละ 30 ของมูลค่าที่แท้จริง   
ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 
ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับความเป็นแหล่งปิโตรเลียม 
ที่ติดอันดับโลกของไทย ดังตาราง
 ประเทศ 
 | 
ลำดับในการเป็นแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติของโลก  
 | 
 ส่วนแบ่งที่เจ้าของประเทศได้ 
ผลประโยชน์จากแหล่งน้ำมันของตนเอง 
 | 
 ไทย 
 | 
 ลำดับที่  24  ของโลก 
 | 
 ร้อยละ 30 
 | 
 โบลิเวีย 
 | 
 ลำดับที่ 33 ของโลก 
 | 
 ร้อยละ 82 
 | 
 พม่า 
 | 
 ลำดับที่ 36 ของโลก 
 | 
 ร้อยละ 80-90 
 | 
 คาซัคสถาน 
 | 
 ลำดับที่ 42 ของโลก 
 | 
 ร้อยละ 80 
 | 
6. ผลประโยชน์จากแผ่นดินต้องกลับคืนสู่มือประชาชน มิใช่นายทุน
ในประเทศที่เขามีทรัพยากรมากมายแบบประเทศไทยขนาดนี้ เขาจะเอาเงินมาพัฒนาประเทศ ทำให้ประชากรของเขาอยู่ดี กินดี  เรียนฟรี มีการรักษพยาบาลฟรี
แต่เป็นที่น่าเศร้าสำหรับประเทศไทย ที่คนไทยกลับมีชีวิตที่ยากเข็ญ ประชากรส่วนใหญ่มีหนี้สิน อดมื้อกินมื้อ ทำงานหนัก หาเช้ากินค่ำ
7. ประเทศไทยให้สัมปทานขุดน้ำมันถูกที่สุดแต่ราคาน้ำมันกลับแพงที่สุดในอาเซียน
 จะเห็นได้ว่า 
ระบบสัมปทานน้ำมันดิบและก๊าซปิโตรเลียม ทำให้บริษัทเจ้าของสัมปทานรวย 
ในขณะที่ประชาชนเจ้าของประเทศ เจ้าของทรัพยากร กลับต้องปากกัดตีนถีบ
กระทรวงพลังงาน เคยชี้แจงต่อคณะกรรมการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริต วุฒิสภา โดยกระทรวงพลังงานขอให้เห็นใจบริษัทผู้รับสัมปทานว่า การขุดเจาะและสำรวจพลังงานเป็นเรื่องยากและได้กำไรน้อย ทั้งๆที่ในปัจจุบันความจริงปรากฏว่า บริษัทผู้รับสัมปทาน ได้กำไร หลายแสนล้านบาท
คงต้องเป็นหน้าที่ของคนไทยทั้งแผ่นดินแล้วว่า ควรออกมาทวงสิทธิของตนเอง



ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น