นราธิวาส
1 ใน 3 จังหวัด ขึ้นชื่อว่าเป็นพื้นที่สีแดง เข้ม !
ผู้เขียนมีโอกาสได้ลงมาทำงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ค่อนข้างบ่อย
ซึ่งได้เชิญชวน เพื่อนๆ พี่ๆ ในที่ทำงานหลายครั้งว่า
ถ้าได้ลองลงมาสัมผัสแล้วจะเข้าใจชีวิตพี่น้องจังหวัดนราธิวาส
และอยากให้กำลังใจในการสู้กระแสข่าวของความรุนแรงที่เห็นผ่านสื่อต่างๆ
วันนี้ ได้มีโอกาสลงมาร่วมกิจกรรม“มหกรรมรวมพลังเยาวชนจังหวัดนราธิวาส
เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
80 พรรษา”
ณ สวนกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เมือง จ.นราธิวาส
ซึ่งเป็นกิจกรรมภายใต้โครงการพัฒนาองค์กรเยาวชนจิตสาธารณะระดับตำบลจังหวัด
ชายแดนใต้ของดร.รุ่ง แก้วแดง ประธานมูลนิธิสุข-แก้ว แก้วแดง
ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สสส.
บรรยากาศของงานโดยรอบมีเด็กๆ จำนวนมากนั่งชมการแสดงบนเวที
อีกส่วนหนึ่งก็เตรียมตัวเพื่อการแสดงชุดต่อๆ ไป
นอกจากนี้ยังมีนิทรรศการที่มาร่วมในงานอีก
แต่ที่สายตาได้สัมผัสเห็นคือความสนุกสนาน เสียงหัวเราะ
อาการตื่นเต้นที่จะได้แสดงให้คนที่มาร่วมงานได้ดู
แต่พอเหลือบสายตาไปอีกทางก็พบเหล่าทหารกล้า ยืนถือปืนอาวุธติดกาย
คอยระแวดระวังภัย เสมือนเป็นสัญลักษณ์แห่งความปลอดภัย และความอบอุ่นใจต่างๆ
ให้แก่เรา
“ด้วยเกียรติของข้า ข้าสัญญาว่า …
ข้อ 1 ข้าจะจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ข้อ 2 ข้าจะยึดหลักแห่งคารวะธรรม ปัญญาธรรม
และสามัคคีธรรมในการปฏิบัติงานทั้งปวง
ข้อ 3 ข้าจะอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือสังคม ชุมขน และประเทศชาติต่อไป”
สิ้นเสียงคำปฏิญาณของเยาวชน 3 จังหวัดชายแดนใต้ โดยผู้นำการปฏิญาณ
นายเฉลิมชัย โสวิรัตน์ ประธานองค์กรเยาวชน 3 จังหวัด
เปล่งเสียงประสานด้วยความหนักแน่น สะท้อนห้วงลึกในความรู้สึก
ท่ามกลางสถานการณ์ความรุนแรงอย่างหนักกับที่เป็นอยู่ทุกวัน
การที่ผู้ใหญ่กำลังทะเลาะกัน เพราะยังไม่ได้สิ่งที่ต้องการ
จนไม่สนใจผลของความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น แม้กระทั่งวันที่เด็กๆ
และเยาวชนรวมพลังจัดกิจกรรมกันอยู่
เหตุการณ์ความไม่สงบก็ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
มีเยาวชนคนหนึ่งถามพวกเราทีมงานที่มาจากกรุงเทพฯ ว่า “พี่ไม่กลัวเหรอ
ทำไมพี่ลงมาล่ะ” คำถามง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ทำให้ทีมงานเรา ตอบไม่ถูก
เพราะสัมผัสได้ถึงแววตาความจริงใจ พร้อมเสียงที่ปนความน้อยใจออกมาด้วย
เราได้เพียงแต่ส่งรอยยิ้มและกำลังใจให้น้องๆ สู้ต่อไป
นายดีรีมาน ยิตอสอ ประธานองค์กรเยาวชนจังหวัดนราธิวาส กล่าวว่า
มูลนิธิสุข-แก้ว แก้วแดง หรือปู่รุ่ง ชื่อที่เด็กๆ
คุ้นเคยและชอบเรียกติดปาก ปู่รุ่งเป็นเจ้าของโครงการ ฯ
ซึ่งเห็นความสำคัญของเยาวชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้
โดยฐานคิดที่เชื่อว่าเยาวชนทุกคนเป็นคนดี และสามารถเรียนรู้กันได้
จึงเน้นให้เยาวชนต่างตำบล ต่างวัฒนธรรม มารวมตัวกันและแลกเปลี่ยนเรียนรู้
เกิดความสนิทสนมเป็นเพื่อนกันจนพัฒนาไปสู่องค์กรเยาวชนระดับจังหวัด
และองค์กรเยาวชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อจะได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
และที่สำคัญกิจกรรมทั้งหมดมีเยาวชนเป็นผู้ดำเนินการ
เพราะต้องการให้เยาวชนได้ลงมือปฏิบัติ
ซึ่งปัจจุบันมีเยาวชนเข้าร่วมแสดงพลังของความเข้มแข็งกว่า 140 ตำบล
โดยงานที่เยาวชนเข้ามาทำเป็นเรื่องเกี่ยวกับการจัดตั้งและบริหารองค์กร
เรียนรู้เรื่องของชุมชน ประวัติ ศิลปะพื้นบ้านเพื่อสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรม
การเรียนรู้เรื่องของอาชีพ โทษและพิษภัยของยาเสพติด
การช่วยเหลือเด็กกำพร้าที่พ่อ แม่ ต้องมาเสียชีวิตจากเหตุความไม่สงบ
นาย อภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส
ในฐานะประธานเปิดงานในครั้งนี้ กล่าวว่า
เด็กและเยาวชนในที่นี้มีความเข้มแข็งมาก การทำงานร่วมกับมูลนิธิฯ
เป็นความผูกพันกันมานาน
และเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับจังหวัดนราธิวาสในการให้ความสำคัญกับเด็กและ
เยาวชน
เพราะนอกเหนือจากการคิดอ่านทำงานของเด็กเองแล้วยังได้มาช่วยเหลือภาคราชการ
เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งในเรื่องของการพัฒนาคุณภาพชีวิตและองค์กรเยาวชน
ของจังหวัดด้วย เรามีองค์กรเยาวชนหลายรูปแบบ ทั้งสภานักเรียน
องค์กรศูนย์เยาวชนของโครงการพัฒนาชุมชน
และกระทรงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)
ซึ่งสามารถรวมตัวเป็นภาคีองค์กรเยาวชนด้วยกัน
เราอยากเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น และสร้างพื้นที่ให้เด็กและเยาวชน
ได้แสดงความคิดริเริ่มในการทำงาน โดย
จังหวัดนราธิวาสได้ตั้งงบประมาณของจังหวัดให้น้องๆ เยาวชนตำบลละ 1 แสนบาท
เพื่อขับเคลื่อนกิจกรรม โดยมอบให้ทางพัฒนาชุมชนเป็นแม่งานใหญ่
ส่วนระดับอำเภอ และจังหวัดให้ พม.
มาช่วยขับเคลื่อนกิจกรรมของเด็กและเยาวชนต่อไป
“กิจกรรมวันนี้ มี 2 หัวใจสำคัญ 1การรวมพลังเยาวชนของ 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มาแสดงออกซึ่งความรัก สามัคคี
ได้รู้จักว่าการมีเพื่อนฝูงเยอะๆ เป็นเรื่องที่ไม่ขาดทุน ได้พึ่งพาอาศัยกัน
การมีองค์กรเยาวชนมาเป็นพี่เลี้ยงการขับเคลื่อนกิจกรรมเป็นเรื่องที่ดี
เยี่ยม อยากให้ทุกคนได้ช่วยกัน การรวมพลังมี 2 ส่วน คือ
ปัจจัยที่เกี่ยวกับตัวเราเอง จะต้องพัฒนาด้านร่างกายต้องแข็งแรง
สติปัญญาเข้มแข็ง จิตใจต้องมั่นคงอยู่ในคุณงามความดีในด้านศาสนา
คนเรามาอยู่ร่วมกัน 1 บวก 1 ทางคณิตศาสตร์ต้องเท่ากับ 2 แต่ความเป็นมนุษย์
1 บวก 1 ทะเลาะกัน ตีกัน ฆ่ากัน อาจจะเท่ากับ 0 หรือติดลบก็ได้
แต่ถ้าเราจับมือกันทำงานด้วยกันมันก็เป็นบวก
เมื่อมาอยู่ด้วยกันต้องมาร่วมกันคิดอ่าน มีกฎเกณฑ์กติกา
มีวินัยของการอยู่ร่วมกัน
เป็นเรื่องของสังคมที่จะต้องมาอยู่ด้วยกันในรูปขององค์กร ดังที่
ปู่รุ่งได้อบรมให้เด็กและเยาวชนมาอย่างยาวนาน หัวใจที่ 2
เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ครบรอบ 84 พรรษา
ผมขอยืนยันว่าในโลกกลมๆ ของเราใบนี้
มีการปกครองด้วยระบอบพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหลายประเทศ
แต่ไม่มีประเทศใดที่พระมหากษัตริย์ทรงงานเหน็ดเหนื่อยตรากตรำพระวรกาย
มีใจทุกข์ร้อนเมื่อเห็นพสกนิกรของพระองค์ไม่มีความสุข
ทรงเสด็จเยี่ยมและให้กำลังใจ และพระราชทานโครงการในพระราชดำริมากมาย
การจัดงานอย่างน้อยครั้งนี้
เพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านก็เป็นงานที่สมควรได้รับการ
ยกย่องสรรเสริญไว้ ณ ที่นี้ด้วย” นายอภินันท์ กล่าว
ปู่ รุ่ง อดีต รมช.ศึกษาธิการ อดีตเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.)
คนสำคัญของประเทศของเด็กและเยาวชน บอกกับเราว่า
โครงการพัฒนาขีดความสามารถองค์กรเยาวชนเป็นแนวทางเดียวกับการปฏิรูปการศึกษา
คือ การให้เด็กมาเรียนรู้ และดำเนินกิจกรรมด้วยตัวเอง
การที่มูลนิธิเลือกศิลปะการแสดง
เพราะเป็นกิจกรรมสร้างสร้างสรรค์ที่เยาวชนคุ้นเคย
เรียนรู้และเข้าถึงเยาวชนได้ง่าย และ สิ่งสำคัญผู้นำศาสนายอมรับ
หากเป็นดนตรีสมัยใหม่ ผู้นำศาสนารับไม่ได้ ดังนั้น จึงเลือกการแสดง
ศิลปะวัฒนธรรม เช่น อนาซีค,ดีเกฮูลู,ตา รีกีปัส ฯลฯ
เนื่องจากการแสดงเหล่านี้กำลังจะสูญหายไปหมด เด็กก็ไม่สนใจ
และครูภูมิปัญญาก็ค่อยๆ ล้มหายตายจากไป
เมื่อมูลนิธิริเริ่มฟื้นฟูครูภูมิปัญญาก็เข้ามาสอน เด็กๆ
ก็เริ่มเข้ามาหัดเล่น โดยให้เด็กแสดงในชุมชนก่อน
เป็นการเปิดตัวให้คนในชุมชนรู้จักองค์กรเยาวนชน
ซึ่งมูลนิธิชวนเด็กและเยาวชนที่ที่มีปัญหาทางสังคมมาร่วมกิจกรรม
เด็กจำนวนมากติดติดยาเสพติด สังคมไม่ค่อยยอมรับเท่าไร
เมื่อเด็กเหล่านี้แสดงได้ สังคมก็เริ่มถามว่า เขาคือใครทำไมทำได้
เรียนมาจากไหน ทำไมถึงเป็นคนดี ส่งผลให้เด็กหลายคนเลิกยาเสพติด
เพราะในการแสดงต้องใช้สมาธิ และต้องอาศัยระเบียบวินัยในการฝึกฝน ดัง นั้น
สังคมจึงเริ่มยอมรับ และเปิดพื้นที่ทางสังคมให้แก่เด็กกลุ่มนี้
เมื่อความสำเร็จขั้นแรกเกิดขึ้นแล้วในชุมชน ขยายผลทำต่อในระดับอำเภอ
เพราะวัตถุประสงค์ของโครงการ ต้องการให้เด็กรู้จักกับคนต่างชุมชน ต่างอำเภอ
และจากอำเภอก็ขยายไปสู่จังหวัด
ดร.รุ่ง กล่าวต่อว่า เป้าหมายปลายทางเรื่องงานเยาวชน
ทุกคนยอมรับหรือไม่ว่าสำคัญ? คำตอบที่ได้คือทุกคนยอมรับ
กิจกรรมที่ดำเนินการมามีเยาวชนไม่ถึง 10%
ที่อยู่ในกระบวนการทั้งเยาวชนในระบบและนอกระบบ และขณะนี้ มีองค์กร หน่วยงาน
ทำเรื่องเยาวชนเยอะ และต่างเก็บกันเอาไว้
เราจึงมาคุยกันว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะทำงานแบบบูรณาการ
ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดท่านก็เห็นด้วยว่าทุกหน่วยราชการที่ทำงานเรื่องเด็ก
และเยาวชนควรมาร่วมมือกันทำงาน ทั้ง กระทรวง พม. กรมการพัฒนาชุมชน (พช.)
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) วิทยาลัยชุมชน (วชช.)
สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวะศึกษา ( สอศ.)
มาร่วมกันทำและขยายกิจกรรมให้ครบทั้ง 3 จังหวัดชายแดนใต้
โดยผลัดกันเป็นเจ้าภาพ ซึ่งปีนี้ถือเป็นปีสุดท้ายแล้วที่โครงการฯ
ดำเนินงานมาครบ 3 ปี
ซึ่งเป้าหมายของโครงการคือได้รูปแบบการเรียนรู้ของเยาวชน
และขณะนี้กำลังถอดบทเรียนเพื่อเสนอนโยบายให้ สสส.
เพื่อพัฒนาเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายให้กับรัฐบาลต่อไป
“อยากให้รัฐบาลจริงจังกับการแก้ไขปัญหาของเด็กและเยาวชนใน 3
จังหวัดชายแดนใต้ เพราะอัตราการเกิดของประชากรภาคใต้ค่อนข้างสูง เช่น 1
ครอบครัวมีภรรยา 4 คน ลูก 20 คน ถือเป็นเรื่องปกติมาก
และปัญหาที่พบคือไม่เรียนหนังสือ ติดยาเสพติด การใช้วิธีไล่จับ ไม่ได้ผล
เพราะต้องให้เขาเรียนรู้เอง เข้าใจเอง เพราะท้ายที่สุดแล้วชีวิตเป็นของเขา
ใช้กระบวนการที่เขาเห็นด้วย ใช้หลักศาสนาเป็นตัวกำกับ
เพราะยาเสพติดนั้นเป็นข้อห้ามผิดหลักของศาสนา
เป็นการต่อสู้กันระหว่างสิ่งดี กับสิ่งไม่ดี เราใช้การกดดันจากข้างนอก
ไม่ใช่ข้างใน
เพราะจากที่คุยกับเด็กและเยาวชนส่วนใหญ่อยากเลิกเมื่อถามเด็กว่า
รู้หรือไม่ว่าเป็นสิ่งไม่ดี รู้ เคยเลิก
แต่ที่เลิกไม่ได้เพราะคนในสังคมใช้กันหมด ดังนั้น ใน 3
จังหวัดชายแดนใต้จึงมีเด็กที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงและเป็นปัญหาสังคมเยอะมาก
รัฐบาลต้องเปิดโอกาสให้แก่เด็กเหล่านี้
อย่าคิดสูตรสำเร็จรูปจากส่วนกลางมาให้เขาทำ
แต่รัฐบาลควรเป็นผู้ให้การสนับสนุน ส่งเสริมเรื่องการเรียนรู้ แนะนำ
และเป็นผู้ประเมินผล โดยต้องให้ความเชื่อใจเขา
ควรให้องค์กรเยาวชนเขาทำกันเอง คิดเอง แก้ไขเอง เพราะชีวิตเป็นของเขา”
ดร.รุ่ง กล่าว
น.ส.สุไรณี
เลาะใบ หนึ่งในเยาวชนจาก จ.ยะลา อายุ 17 ปี เล่าว่า
ได้เข้ามาร่วมทำกิจกรรมกับมูลนิธิโดยเลือกกิจกรรมเรื่องบุหรี่
และศิลปะการที่เลือกกิจกรรมเกี่ยวกับให้เยาวชนในชุมชนไม่สูบบุหรี่ อยากจะทำ
แม้รู้ว่าเป็นเรื่องที่ยาก เพราะการสูบบุหรี่หรือยาเสพติดที่รู้จักกัน
คือ 4x100 เป็น สิ่งที่เห็นกันมานานและเป็นเรื่องปกติของคนในชุมชน
แต่ก็อยากทำเพราะในครอบครัวก็มีปัญหาในเรื่องนี้
จึงอยากช่วยให้เพื่อนที่เป็นเยาวชนวัยเดียวกันกับเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่มี
คุณภาพ เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี
ไม่ทำร้ายคนในครอบครัวเพราะอาการเสียสติจากการใช้สารเสพติด
บุหรี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่สิ่งไม่ดีในเรื่องอื่นๆ ตามมา
เด็กและเยาวชนในชุมชนที่อยู่ โดยเฉพาะผู้ชายไม่เรียนหนังสือ
ไม่มีอาชีพเป็นหลักแหล่ง ก็พยายามที่จะหาเงินมาซื้อบุหรี่
ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงิน โดยไม่คำนึงถึงว่าสิ่งที่ทำนั้นถูกหรือผิด
จากการทำกิจกรรมก็เห็นความพยายามของบางคนที่อยากจะเลิก
ซึ่งตนเองไม่ได้คาดหวังว่าคนที่มาร่วมกิจกรรมจะต้องเลิกในทันที 100 % ขอ
แค่มีใจที่จะเลิก ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้ว
แต่ตอนนี้รู้สึกเสียดายที่โครงการของปู่รุ่งกำลังจะจบแล้ว
ตนยังอยากที่จะมาทำงานร่วมกับทางมูลนิธิ
เพราะทำให้ได้ใช้เวลาทำประโยชน์ไปกับกิจกรรมดีๆ มีเพื่อนๆ
ไม่ต้องมาเศร้ากับปัญหาครอบครัวที่เราเผชิญอยู่ อยากให้มีกิจกรรมดีๆ
อย่างนี้ตลอดไป
ฝ่าย ปกครองอย่างรัฐบาล คนในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง
เปิดใจให้โอกาสเด็กและเยาวชนเหล่านี้
ได้แสดงความคิดและฝีมือในการแก้ไขปัญหาที่เป็นอยู่ ให้เกิดผลสำเร็จ
เพื่อความสงบและสันติสุขจะได้กลับมาเสียที
ที่มา: http://thaingo.org/thaingo/node/2036
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น