มีจริยธรรมดีขึ้น ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม ระบบการเมืองดีขึ้น (วรทัศน์, 2548)
การพัฒนามุ่งเน้นไปที่ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตในอนาคต ความสามารถของบุคคลในการช่วยเหลือตนเอง และความสามารถในการควบคุมตัวเขาเอง
รูปแบบการพัฒนา
1. การพัฒนาแบบเสรี (Free Development) เปิดโอกาสให้เอกชนสร้างความเจริญและความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมตามแนวทางประชาธิปไตยและระบบการแข่งขันโดยเสรี (Democracy and Enterprise)
2. การพัฒนาแบบบังคับ (Forced Development) รัฐบาลเป็นผู้กำหนดควบคุมดูแลการพัฒนาทั้งหมด ตัวอย่างเช่น ประเทศที่มีระบบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์
3. การพัฒนาแบบผสมผสาน, แบบมีแผน (Planed Development) จะมีการพัฒนาอย่างมีระบบแบบแผนที่แน่นอนในหน่วยงานราชการและพนักงานของรัฐ และเปิดโอกาสให้เอกชนดำเนินกิจการต่างๆ อย่างเสรี
ระดับการพัฒนา
1. ประเทศด้อยพัฒนา (Under Development Countries) มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่ระมัดระวัง คือ นำเอาทรัพยากรในประเทศส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ
2. ประเทศกำลังพัฒนา (Developing Countries) มีการนำเอาทรัพยากรธรรมชาติในประเทศ
มาแปรรูปและส่งออกยังต่างประเทศ
3. ประเทศที่พัฒนาแล้ว (Developed Countries) เป็นประเทศอุตสาหกรรม ไม่ใช้ทรัพยากรภายในประเทศ ส่วนใหญ่จะนำเข้าทรัพยากรธรรมชาติจากต่างประเทศมาแปรรูปแล้วส่งจำหน่ายในรูปสินค้าอุตสาหกรรม
ทฤษฎีที่ใช้ในการพัฒนาประเทศ
1. ทฤษฎีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจตามลำดับขั้น (The Stages of Economic Growth Theory)
Rostow กล่าวว่า ทฤษฎีนี้จะเน้นการพัฒนาในระบบเศรษฐกิจ โดยการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจตามลำดับขั้น โดยพัฒนามาจากระบบสังคมแบบดั้งเดิม ซึ่งมี 5 ขั้น คือ
1. ขั้นสังคมดั้งเดิม (Tradition Society Stage)
2. ขั้นเตรียมพัฒนา (Precondition for Take – off Stage)
3. ขั้นเข้าสู่กระบวนการพัฒนา (Take – off Stage)
4. ขั้นทะยานเข้าสู่ภาวะของความอุดมสมบูรณ์ (Drive to Maturity Stage)
5. ขั้นอุดมสมบูรณ์ (High Mass Consumption Stage)
2. ทฤษฎีฝนหล่นจากฟ้า (Trickle Down Effect Theory)
ทฤษฎีนี้มีแนวคิดว่า คนในสังคมมีหลายระดับชั้น แต่ละระดับชั้นมีความสามารถในการพัฒนาไม่เท่ากัน ดังนั้น จึงควรพัฒนาชนชั้นที่มีความพร้อมในสังคมก่อนแล้วค่อยกระจายไปสู่
ชนชั้นล่างต่อๆ ไป เนื่องจากงบประมาณทรัพยากรในประเทศมีอยู่อย่างจำกัด
3. ทฤษฎีการกระจายรายได้และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (Redistribution with Economic Growth Theory)
ทฤษฎีนี้เน้นการกระจายรายได้ควบคู่กับการระดมทุน และขึ้นอยู่กับมาตรการต่างๆ ทางด้านประชากร ความเท่าเทียมกันทางสังคม ทฤษฎีนี้นำมาใช้กับงานพัฒนาชุมชน
4. ทฤษฎีความทันสมัย (Modernization Theory)
ทฤษฎีนี้เน้นความทันสมัยในเชิงการผลิต การลงทุนในภาคอุตสาหกรรมทำให้เกิดความเคลื่อนไหว 3 ด้าน คือ ด้านกายภาพ ด้านค่านิยมทางจิตใจ และด้านสังคม โดยทฤษฎีนี้จะเชื่อมโยงกับทฤษฎีการแพร่กระจายทางวัฒนธรรม คือ มีการยอมรับสิ่งใหม่ๆ เข้ามาในชุมชน
5. ทฤษฎีการด้อยพัฒนาและการพึ่งพา (Underdevelopment and Dependency Theory)
ทฤษฎีนี้เกิดขึ้นเนื่องจากช่องว่างในการแบ่งประเทศออกเป็น 3 ระดับ คือ ประเทศ
ที่พัฒนาแล้ว ประเทศที่กำลังพัฒนา และประเทศด้อยพัฒนา ความสัมพันธ์ทั้ง 3 ระดับที่สำคัญคือ ประเทศกำลังพัฒนาและประเทศด้อยพัฒนา อยู่ภายใต้ขอบข่ายของอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจและเป็นแหล่งวัตถุดิบ ตลาดสินค้าอุตสาหกรรม ผลประโยชน์ รายได้ และจุดสำคัญทางยุทธศาสตร์ให้กับประเทศที่พัฒนาแล้ว เรียกว่าการพึ่งพา (Dependence) ทั้งทางด้านวัฒนธรรม สังคม เศรษฐกิจและการเมือง ไม่ได้มีแนวทางพัฒนาเป็นของตนเอง ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีและทุนจากประเทศที่พัฒนาแล้ว
6. แนวความคิดของการพัฒนาอีกรูปแบบหนึ่ง (The Concept of Another Development)
แนวความคิดนี้ได้เปลี่ยนจากการพัฒนาที่ยึดถือการขยายตัวทางเศรษฐกิจมาเป็นการยึดถือคนเป็นหลัก โดยถือว่าคนเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุด สามารถนำเอาศักยภาพและความคิดสร้างสรรค์ของคนมาใช้ในการพัฒนา โดยมีหลักพื้นฐานคือ ประชาชนต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ประเทศยากจนและประเทศที่ร่ำรวยต้องมีความสำคัญเท่ากัน ต้องมีการจัดสรรการใช้ทรัพยากรอย่างมีระบบ กระบวนการพัฒนาต้องเป็นการพัฒนาจากภายใน ระบบและวิธีการพัฒนา
ที่เกิดขึ้นต้องเอื้อประโยชน์ให้แก่ประเทศที่ด้อยพัฒนา
7. ทฤษฎีความจำเป็นพื้นฐาน (Basic Needs Theory)
ทฤษฎีนี้พัฒนามาจากการพัฒนาเพื่อการจ้าง การกระจายรายได้ควบคู่กับการเจริญเติบโตและการพัฒนาอีกวิธีหนึ่ง โดยเชื่อว่าการพัฒนานั้นต้องตอบสนองความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ 4 ด้าน คือ ความมั่นคงปลอดภัย (Security Needs) สวัสดิภาพของชีวิต (Welfare Needs) เอกลักษณ์ (Identity) และเสรีภาพ (Freedom) ดังนั้น การพัฒนาจึงควรมุ่งเน้นไปที่การลดอัตราการว่างงาน การเพิ่มผลผลิตให้ถึงระดับความต้องการพื้นฐาน การกระจายบริการสาธารณูปโภคด้านสาธารณสุข การศึกษา แหล่งน้ำ บ้านเรือน สุขาภิบาลให้เพียงพอ ประเทศไทยได้นำแนวความคิดนี้มาปรับใช้
โดยกำหนดเครื่องชี้วัดความจำเป็นพื้นฐาน (Basic Minimum Needs Indicators) หรือ “จปฐ” นำมาใช้ครั้งแรกในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2525 – 2529)
8. ทฤษฎีความสมดุลและนิเวศวิทยา (Equilibrium and Ecological Theory)
แนวคิดทฤษฎีนี้เน้นการพัฒนาสังคมโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่นและชนบทอย่างชาญฉลาด ไม่ทำลายสภาพแวดล้อมและธรรมชาติ และให้เกิดการพัฒนาแบบยั่งยืน (Sustainable Development)
จากแนวคิดทฤษฎีและทฤษฎีในการพัฒนาที่กล่าวมา สามารถสรุปได้
3 แนวคิด ดังนี้
แนวคิดที่
1
|
แนวคิดที่
2
|
แนวคิดที่
3
|
- ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
(Economic Growth)
-
ความเป็นตะวันตก
(Westernization)
-
ความทันสมัย
(Modernization)
-
ฝนหล่นจากฟ้า
(Trickle Down
Effect)
-
ความพึ่งพิง
(Dependency)
|
-
การกระจายรายได้
(Distribution
Income)
-
ความจำเป็นพื้นฐาน (จปฐ)*
(Basic Needs)
-
การพัฒนาสังคม
(Social
Development)
-
การพัฒนามนุษย์
(Human
Development)
|
-
ช่วยเหลือตนเอง
(Self Help)
-
เชื่อมั่นในตนเอง
(Self Reliance)
-
มันสมองของชนบท
ภูมิปัญญาชาวบ้าน
(Local Wisdom)
-
ไม่พึ่งพิงใคร
(Independency)
|
คุณภาพของชีวิต
(Quality
of Life)
|
||
การพัฒนาที่ยั่งยืน
(Sustainable
Development)
|
อ้างถึง: สรุปบทเรียน บทที่ 2 แนวคิดในการพัฒนา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น