วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2556

ข้อมูลพื้นฐานรัฐกลันตัน

1. ประวัติย่อรัฐกลันตัน
             เมื่อประมาณ 2000 ปีมาแล้ว ได้มีประชากรจากทวีปเอเชียตอนเหนืออพยพลงมาทางใต้ถึงคาบสมุทรมลายา และได้อพยพเรื่อยลงมาถึงเกาะต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ในระหว่างนั้น รัฐกลันตันเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรลังกาสุกะ ซึ่งมีอิทธิพลปกครองตลอดคาบสมุทร จนถึงส่วนหนึ่งที่เป็นภาคใต้ของประเทศไทยในขณะนี้
             ในระหว่างศตวรรษที่ 13 หนึ่งในจำนวนอาณาจักรมลายูได้ตกเป็น เมืองขึ้นของ อาณาจักรศรีวิชัย อาณาจักรนี้ได้สร้างอิทธิพลและมีฐานะที่มั่นคงในสุมาตรา และชวามากว่า 500 ปี จนสามารถแผ่อิทธิพลครอบคลุมอาณาเขตต่างๆ เป็นจำนวนมาก  ต่อมา กลันตันได้ตกอยู่ใต้อิทธิพลของอาณาจักรลีกอ และในช่วงเวลา 10 ปีของศตวรรษที่ 20 กลันตันก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของไทย จนกระทั่งได้ตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ซึ่งได้ใช้ระบบสุลต่านเป็นเจ้าปกครองรัฐ โดยอยู่ภายใต้การบริหารของอังกฤษ
            เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในกลันตันครั้งหนึ่ง คือ ก่อนสงครามโลก  ครั้งที่ 2 จะเริ่มขึ้น กองทัพญี่ปุ่นได้บุกขึ้นหาดที่ Pantai Sabak ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐ ในวันที่ 7ธันวาคม
ค.ศ. 1941 (พ.ศ. 2484) ก่อนหน้าที่จะทำการโจมตี Pearl Harbor เพียง 95 นาที
             ในปี ค.ศ. 1948 (พ.ศ. 2491) กลันตันได้รวมเข้าอยู่ในสหพันธ์มลายา ซึ่งได้รับเอกราชในปี ค.ศ.1975 (พ.ศ. 2500) ต่อมาในปี ค.ศ. 1963 (พ.ศ. 2506) ได้เปลี่ยนเป็นสหพันธ์มาเลเซียโดยรวมรัฐซาบาร์และซาราวัคเข้า ไว้ด้วย

2. ที่ตั้ง
            รัฐกลันตันตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของคาบสมุทร มลายู มีพื้นที่ทั้งหมด 14,931 ตารางกิโลเมตร โดยทิศเหนือจดประเทศไทยที่อำเภอสุคิริน อำเภอแว้ง อำเภอสุไหงโก-ลก และอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาสของไทย ทิศใต้จดรัฐปาหัง ทิศตะวันออกจดรัฐตรังกานูและทะเลจีนใต้ และทิศตะวันตกจดรัฐเปรัค

3. ประมุขของรัฐ
            ประมุขของรัฐกลันตันองค์ปัจจุบันคือ สุลต่าน Tuanku Ismail Petra ibni Al-Marhum Sultan Yahya Petra พระองค์ประสูติเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1949 ที่พระราชวัง Istana Jahar เมืองโกตาบารู  ภายหลังสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมจาก Sultan Ismail College ในเมืองโกตาบารู พระองค์ได้สนพระทัยในการศึกษาศาสนาอิสลามอย่างลึกซึ้ง และได้รับการสถาปนาเป็นสุลต่านสืบแทนพระราชบิดาซึ่งเสด็จสวรรคตในระหว่างที่ ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระราชาธิบดีในปี ค.ศ. 1975 พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับTengku Anis binti Tengku Abdul Hamid เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 1968 ปัจจุบันทรงมีพระโอรส 3พระองค์ และพระธิดา 1 พระองค์  คือ Tengku Mohammad Faris Petra,  Tengku Mohammad Fa-iz Petra, Tengku Mohamad Fakhry Petra  และ  Tengku Amalin A’isah  อนึ่ง  ตำแหน่งพระชายาของสุลต่านรัฐกลันตันนี้มีชื่อเฉพาะเรียก ว่า “Raja Perempuan”  มิใช่  Sultanah  และพระชายาพระองค์นี้มีศักดิ์เป็นหลานของพระยาพิพิธภักดี อดีตเจ้าเมืองปัตตานี (ต้นตระกูลพิพิธภักดี) เนื่องจาก Tengku Abdul Hamid ซึ่งเป็นบิดาของพระชายาเป็นบุตรของพระยาพิพิธภักดี

4. ประชากร
            กลันตันเป็นรัฐใหญ่ที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 4 เมื่อเปรียบ เทียบกับรัฐต่างๆ เฉพาะบนคาบสมุทรมาเลเซีย (ไม่รวมรัฐซาบาห์และซาราวัค) มีประชากร 1.5 ประมาณล้านคน เป็นคนมุสลิม 93.8% (หรือประมาณ 1,395,000 คน) คนจีน 3.74% (หรือประมาณ 67,500 คน) อินเดีย 0.8% (หรือประมาณ 75,000คน) โดยแยกเป็นเชื้อชาติต่างๆ ดังนี้

5.  สภาพทางสังคม
            สังคมรัฐกลันตันเป็นสังคมหลายเชื้อชาติหลากวัฒนธรรม สามารถแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ (1) กลุ่มเชื้อชาติมาเลย์ (ภูมิบุตร) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนมีนิสัยไม่กระตือรือร้นชอบชีวิตแบบสุขสบาย อาศัยอยู่ในชนบท ฐานะค่อนข้างยากจน ไม่ชอบการค้าขาย นิยมการรับราชการ เคร่งศาสนาและประเพณีดั้งเดิม  (2) กลุ่มเชื้อชาติจีน เป็นกลุ่มชาตินิยม รวมตัวกันอย่างเหนียวแน่น ขยันขันแข็ง ประกอบอาชีพค้าขาย เป็นผู้นำทางเศรษฐกิจ(เป็น economic driving force ของมาเลเซีย)และมีอำนาจต่อรองทางการค้าสูง และ (3) กลุ่มเชื้อชาติไทย อาศัยอยู่บริเวณที่ราบทั่วไป บนฝั่งแม่น้ำกลันตัน และบริเวณใกล้ชายแดนด้านจังหวัดนราธิวาส อาชีพทำนา ทำสวน และรับจ้าง ฐานะ ความเป็นอยู่ค่อนข้างยากจนกว่าชนเชื้อชาติอื่น มีความเคารพเลื่อมใสในพุทธศาสนา อย่างแรงกล้า ยึดมั่นในภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม อย่างจริงจังและยังคงรักษาเอกลักษณ์ ของความเป็นไทยไว้อย่าง เหนียวแน่น ภาษาราชการคือ ภาษามาเลย์ รองลงมาได้แก่ ภาษาอังกฤษ สำหรับภาษาไทย และ ภาษาจีน มีผู้นิยม ใช้กันอย่างแพร่หลาย
            รัฐกลันตันเป็นรัฐอนุรักษ์นิยมที่เคร่งครัดในศาสนาอิสลามมากที่ สุดในบรรดารัฐต่างๆ ของมาเลเซีย โดยรัฐบาลของรัฐกลันตันได้ประกาศให้โกตาบารูซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐกลันตัน เป็น Islamic City ดังนั้น นโยบายรัฐท้องถิ่นจึงมุ่งเน้นที่จะชี้นำให้วิถีชีวิตของประชากรดำเนินไปตาม วิถีอิสลามอย่างเคร่งครัด และให้ความสำคัญและสิทธิประโยชน์ แก่ชาวมาเลย์ มุสลิม ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 90 ของประชากรทั้งหมดในรัฐกลันตัน ซึ่งส่งผลกระทบ อย่างกว้างขวางต่อวิถีชีวิตและการประกอบการธุรกิจของชาวมาเลเซียเชื้อชาติ อื่นในรัฐกลันตัน

6.  สภาพเศรษฐกิจ
            รัฐกลันตันจัดอยู่ในกลุ่มรัฐที่ยากจนที่สุดในบรรดารัฐต่างๆ ของมาเลเซีย รายได้ประชาชาติต่อหัว (GDP per capita) ของรัฐกลันตันในปี 2548 เท่ากับ 7,500 ริงกิต (อัตราเฉลี่ยของปท. เท่ากับ 18,486 ริงกิต รัฐสลังงอร์ เท่ากับ 25,000 ริงกิต และกรุงกัวลาลัมเปอร์ เท่ากับ 30,000 -35,000    ริงกิต) และรายได้ครัวเรือนต่อเดือนเท่ากับ 1,314 ริงกิต (อัตราเฉลี่ยของปท. เท่ากับ 2,500 ริงกิต)
            รัฐกลันตันเป็นรัฐที่ประกอบการเกษตรเป็นส่วนใหญ่มาแต่เดิม ภาคเหนือของรัฐกลันตันมีการปลูกข้าวและทำสวนยางเป็นส่วนใหญ่ ทางภาคใต้มีการปลูกยางพาราและนํ้ามันปาล์ม พืชเศรษฐกิจที่ปลูกทั่วไปในกลันตัน ได้แก่ ยาสูบ นํ้ามันปาล์ม ยางพารา มีการทำปศุสัตว์ อาทิ การเลี้ยงโค กระบือ แกะ  และมีการทำประมงทั่วไปตลอดแนวชายฝั่งที่ยาว 78.4 กิโลเมตร ประชากรใน วัยทำงานของรัฐกลันตันมี 492,000คน อัตราว่างงานร้อยละ 4.5 (เฉลี่ยของปท. ร้อยละ 3.5)
           ในด้านการลงทุนสาขาการลงทุนที่มีศักยภาพในรัฐกลันตัน ได้แก่ อุตสาหกรรมไม้ ยางพารา น้ำมันปาล์ม ปศุสัตว์ การเกษตร ประมง ท่องเที่ยว อาหารและแร่ธาตุ
            โดยที่รัฐกลันตันมีชายแดนติดต่อกับจังหวัดนราธิวาสของไทย ดังนั้น ประชาชนของทั้งประเทศจึงมีการติดต่อค้าขายกันบริเวณชายแดนทั้งในและนอกระบบ ด่านพรมแดนระหว่างรัฐ กลันตันกับประเทศไทยมี 3 ด่าน คือ Rantau Panjang - อ.สุไหงโก-ลก / Pengkalan Kubor -        อ.ตากใบ และ Tanah Merah -บ้านบูกิตบุหงา อ.แว้ง ในปีงบประมาณ 2548  การค้าชายแดนไทย-มาเลเซียใน 5 จังหวัดชายแดนภาค ใต้ มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 263,947.12 ล้านบาท (ขยายตัวจากปีงบประมาณ 2547 คิดเป็นร้อยละ 16.96) โดยไทยส่งสินค้าออกไปยัง มาเลเซียมีมูลค่า 182,644.21 ล้านบาท (ขยายตัวจากปีงบประมาณ 2547 คิดเป็นร้อยละ 23.38 สรุปแล้วประเทศไทยได้ เปรียบดุลการค้าชายแดนไทย-มาเลเซีย ใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวน 101,381.29 ล้านบาท สูงกว่าปีงบประมาณ 2547 ร้อยละ 8.08 สินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการส่งออกมากที่ สุด  คือ  แผ่นยางรมควัน รองลงมา  คือ  ผักและผลไม้
            อย่างไรก็ดี เหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่วัน ที่ 4 มกราคม2547  ได้ส่งผลกระทบต่อมูลค่าการค้าชายแดนไทย-มาเลเซีย ในจังหวัดนราธิวาส โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าได้ขยายตัวน้อยลง (ร้อยละ 0.75 ระหว่างปี 2547-2548  โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก ได้แก่ ผักสด ท่อเหล็กและอุปกรณ์สำหรับการก่อสร้าง หนังโคกระบือ    ที่ฟอกสมบูรณ์แล้ว เครื่องปั๊มน้ำ) ขณะที่การขยายตัวมูลค่าการนำเข้าสูงขึ้นกว่า (ร้อยละ 29.93 ระหว่างปี 2547-2548 โดยมีสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว ผลไม้สด เศษยาง)

7.  เขตการปกครอง

            รัฐกลันตันมีโกตาบารูเป็นเมืองหลวง และแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 10 เขต คือ
             1.  อำเภอบาเจาะ  (Bachok)
             2.  อำเภอกัวมูซัง  (Gua Musang)
            3.  อำเภอโกตาบารู  (Kota Bharu)
            4.  อำเภอกัวลาไกร  (Kuala Krai)
            5.  อำเภอมาจัง   (Machang)
            6.  อำเภอปาเซมัส  (Pasir Mas)
            7.  อำเภอปาเซปูเตะห์  (Pasir Puteh)
            8.  อำเภอตาเนาะห์แมเราะห์ (Tanah Merah)
            9.  อำเภอตุมปัต  (Tumpat)
            10. อำเภอเจลี่   (Jeri)

8.  เขตการเลือกตั้ง
            รัฐบาลรัฐกลันตันประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกสภานิติบัญญัติรัฐ
            8.1 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  (สส.) 
            รัฐกลันตันแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรออกเป็น 14 เขต  มีสมาชิกสภา
ผู้แทนราษฏรได้เขตละ 1 คน รวมเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากรัฐกลันตันทั้งสิ้น 14 ที่นั่ง ทั้งนี้  จากผลการเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 12 เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2551 ปรากฏว่า ผู้สมัครจากพรรคปาส (PAS) ได้รับเลือกตั้ง12 ที่นั่ง ส่วนผู้สมัครจากพรรคแนวร่วมแห่งชาติ (BN) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลได้รับเลือกตั้ง 2 ที่นั่ง
             8.2 สมาชิกวุฒิสภา  (สว.)
            ปัจจุบัน  รัฐกลันตันมีสมาชิกวุฒิสภาทั้งสิ้น 5 คน โดยเป็นสมาชิกที่ได้รับการแต่งตั้งจากประมุขของประเทศ จำนวน 3 คน และได้รับการเลือกตั้งจากสภานิติบัญญัติรัฐอีก  2  คน
            8.3 สมาชิกสภานิติบัญญัติรัฐ  (สร.)
            รัฐกลันตันแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติรัฐออกเป็น 45 เขตเลือกตั้ง มีสมาชิก
สภาฯ ได้เขตละ 1 คน รวมเป็น 45 ที่นั่ง จากผลการเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 12 เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2551ปรากฏว่า ผู้สมัครจากพรรคปาสได้รับเลือกตั้ง 39 ที่นั่ง และผู้สมัครจากพรรคแนวร่วมแห่งชาติ (BN) ได้รับเลือกตั้ง 6 ที่นั่ง

9.  องค์กรทางการบริหาร
            นอกจากกิจการทางด้านการต่างประเทศ การป้องกันประเทศ ความมั่นคง ภายใน การออกกฎหมายอาญาและกฎหมายแพ่ง ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจหน้าที่ของรัฐบาลกลางแล้ว กิจกรรมทางด้านอื่น อาทิ การใช้กฎหมายอิสลาม การเกษตร ป่าไม้ การปกครองท้องถิ่น และการประมงน้ำจืด ภายในอาณาเขตของรัฐ เป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจบริหารของรัฐ ขณะเดียวกันกิจกรรมบางด้าน อาทิ สวัสดิการสังคม การศึกษา และกิจการสาธารณูปโภคต่างๆ จะเป็นการดำเนินการร่วมกันของทั้งรัฐบาลกลางและรัฐบาลรัฐ
            สำหรับองค์กรทางการเมืองและการปกครองที่สำคัญของรัฐแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วนคือ
            9.1  สภานิติบัญญัติรัฐ  (State Legislative Assembly) 
มาจากการเลือกตั้งและอยู่ในตำแหน่งคราวละ 5 ปี  มีอำนาจหน้าที่ที่สำคัญ คือ เสนอชื่อบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งมุขมนตรีต่อสุลต่านเพื่อทรงแต่งตั้ง  (2) ออกกฎหมายเพื่อการบริหารงานภายในรัฐโดยไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ สหพันธ์  และ  (3) อนุมัติงบประมาณประจำปีสำหรับการบริหารงานภายในรัฐ
            9.2  คณะมนตรีบริหารรัฐ  (State Executive Councillor - EXCO) 
            ประกอบด้วยมุขมนตรี 1 คน รองมุขมนตรี  1 คน และมีมนตรีฝ่ายต่างๆ อีก
7 ฝ่าย โดยบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในคณะมนตรีบริหารรัฐทั้งหมดนี้เป็น สมาชิกสภานิติบัญญัติรัฐกลันตันทั้งสิ้น 10 คน มุขมนตรีคนปัจจุบันคือ YAB. Tuan Guru Dato Haji Nik Abdul Aziz Halim Bin Nik Mat สมาชิกพรรค PAS ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน และดำรงตำแหน่งมุขมนตรีติดต่อมายาวนานถึง 16 ปีแล้ว
            9.3  สำนักเลขาธิการรัฐ  (State Secretariat)
            ในสำนักงานเลขาธิการรัฐจะมีเลขาธิการรัฐ (State Secretary) เป็นข้าราชการสูงสุดในรัฐ ซึ่งปัจจุบัน คือ  YBM. Dato Hari Mohd Aiseri Bin Haji Alias มีฐานะเป็นหัวหน้าข้าราชการพลเรือนรับผิดชอบในงานบริหารส่วนราชการ ระดับล่างที่ขึ้นตรงต่อรัฐ  อาทิ อำเภอ หรือ เขตการปกครองต่างๆ นอกจากนั้นยังเป็นตัวแทนข้าราชการประจำที่จะต้องเข้าร่วมการประชุม และเสนอแนะข้อคิดเห็นต่อที่ประชุมคณะมนตรีบริหารรัฐร่วมกับที่ปรึกษากฎหมาย ประจำรัฐและหัวหน้าคลังประจำรัฐ อนึ่ง เลขาธิการรัฐไม่มีอำนาจบังคับบัญชาส่วนราชการของกระทรวง ทบวง กรมส่วนกลางที่ประจำอยู่ในรัฐ  อาทิ  ตำรวจ ทหาร ศุลกากร ตรวจคนเข้าเมือง เป็นต้น

10. นโยบายการบริหารของคณะมนตรีบริหารรัฐชุดปัจจุบัน
            นโยบายหลักของรัฐบาลรัฐในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของรัฐกลันตัน  คือ
            - เปลี่ยนสภาพรัฐกลันตันจากเมืองเกษตรกรรมเป็นเมืองกึ่ง อุตสาหกรรม และยกระดับภาคการผลิตเพื่อให้สามารถผลิตสินค้าเกษตรได้หลากหลายยิ่งขึ้นและ เป็นเชิงธุรกิจ
            - กระชับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเสถียรภาพและความสงบสุขใน
ภูมิภาคนี้ พร้อมกับกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าโดยเชิญชวนนักลงทุนจากประเทศเพื่อนบ้าน มาลงทุนในรัฐกลันตัน โดยเฉพาะจังหวัดภาคใต้ของไทย โดยมีแนวคิดในการขยายความร่วมมือระหว่างรัฐกลันตันกับจังหวัดนราธิวาสในด้าน ต่างๆ ดังนี้
            - ความร่วมมือทางการเกษตร โดยเสนอให้มีการแลกเปลี่ยนการฝึกอบรมเยาวชนท้องถิ่นทางการเกษตรและการดูงาน ของเจ้าหน้าที่การเกษตรเพื่อมุ่งให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยี
            - ความร่วมมือทางการท่องเที่ยว  ขอให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยว ของทั้ง 2 ฝ่าย ผนวกกลันตันและนราธิวาสเอาไว้ในโปรแกรมท่องเที่ยวเสนอขายแก่นักท่องเที่ยว ทั่วไปด้วย
            - ความร่วมมือทางวัฒนธรรม  ร่วมกันจัดเทศกาลทางด้านวัฒนธรรม หรือกิจกรรมอื่นใดที่มุ่งให้ประชาชนของทั้ง 2 ฝ่ายเข้ามีส่วนร่วมด้วยกัน
            - ความร่วมมือทางด้านการขนส่ง เปิดบริการรถยนต์โดยสารผ่านแดนระหว่าง เมืองโกตาบารูไป/กลับ อ. สุไหงโก-ลก นราธิวาส
            - มุ่งเปลี่ยนรัฐกลันตันให้เป็นรัฐอิสลาม  (Islamic State) ด้วยการออกกฎ ระเบียบ
ข้อบังคับต่างๆ  โดยยึดหลักกฎหมายอาญาอิสลาม (Hudud)  มาใช้แทนกฎหมายอาญาทั่วไปในรัฐกลันตัน อาทิ
            -  ห้ามมิให้มีการเล่นการพนันและขายลอตเตอรี่ทุกประเภทภายในรัฐ
            -  ห้ามมิให้มีการแสดงมโหรสพที่มิใช่ของมุสลิม
            -  ไม่ต่อใบอนุญาตกิจการด้านบันเทิงและไนท์คลับต่างๆ
            -  ห้ามมิให้มีร้านแต่งผมที่มีช่างสตรีให้บริการแก่ลูกค้าที่เป็นสุภาพบุรุษ
            -  กวดขันการขายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอโดยมิให้เครื่องดื่มชนิดนี้ในร้านที่บริการชาวมุสลิม
            -  ห้ามมิให้มีการติดป้ายโฆษณาทุกชนิดที่มีรูปสตรีซึ่งมิได้อยู่ในเครื่องแต่งกาย
   แบบอิสลาม  (ชุดหิญาบพร้อมผ้าคลุมผม)  เป็นต้น
            -  รณรงค์การศึกษาวิชาการศาสนาอิสลาม  ด้วยเห็นว่าการศึกษาแบบปอเนาะเริ่ม
ลดน้อยลง  และถูกทดแทนด้วยการศึกษาระบบโรงเรียน  อันส่งผลทำให้รัฐขาดผู้รู้หรือนักการศาสนาที่เชี่ยวชาญด้านนิติศาสตร์อิสลาม

11.  ความสัมพันธ์กับรัฐบาลกลาง
            ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลรัฐกับรัฐบาลกลางเต็มไปด้วยความขัด แย้ง เนื่องจากพรรค การเมืองที่ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลรัฐกลันตันเป็นกลุ่มพรรคการเมืองฝ่ายค้านใน การเมืองระดับชาติ โดยมี พรรค PASเป็นแกนนำกลุ่มพรรคแนวร่วมฝ่ายค้าน  ซึ่งแสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์กับ รัฐบาลกลางอย่างเปิดเผย ทั้งนี้ พรรคPAS ได้อาศัยแนวทางตามหลักศาสนาอิสลามเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการ ระดมศรัทธาจากประชาชนในรัฐกลันตัน ในระยะที่ผ่านมา พรรคปาสได้พยายามรณรงค์ให้รัฐกลันตันปกครองแบบรัฐอิสลาม (Islamic State) และพยายามอย่างแข็งขันที่จะให้มีการนำกฎหมายอาญาอิสลาม (Hudud) มาใช้แทนกฎหมายอาญาทั่วไปในรัฐกลันตัน ซึ่งเป็นแนวทางที่ขัดกับนโยบายของรัฐบาลกลางซึ่งประสงค์จะให้มาเลเซียพัฒนา ไปในลักษณะประเทศมุสลิมก้าวหน้า (Progressive Islam) บนหลักการ Islam Hadari (Civilizational Muslim) เพื่อให้การพัฒนาเศรษฐกิจดำเนินไปอย่างราบรื่น
            รัฐบาลกลางของมาเลเซียได้ดำเนินการตอบโต้พรรค PAS โดยการโดดเดี่ยวรัฐกลันตัน
ทางเศรษฐกิจ  เพื่อโน้มน้าวให้ประชาชนในรัฐดังกล่าวตระหนักถึงความเหลื่อม ล้ำในเรื่องความเป็นอยู่และความล้าหลังอันเกิดจากการบริหารของพรรค PAS นอก จากนี้ พรรคฝ่ายค้านก็ยังถูกจำกัดการเจริญเติบโตโดยมาตรการต่างๆ  ของรัฐบาลซึ่ง อาศัยกลไกทางรัฐสภาแก้ไขกฎหมายหลายฉบับที่มีผลสกัดกั้นไม่ให้ฝ่ายค้านสามารถ เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลได้โดยสะดวก และไม่เอื้อประโยชน์ต่อการค้าและการลงทุนในรัฐกลันตัน

ที่มา: http://www.thaiembassy.org/kotabharu/th/thai-people/1160/19441-ข้อมูลพื้นฐานรัฐกลันตัน.html

ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www2.narathiwat.go.th/narathiwat/general/Malaysia/kelantan/kalantan.htm

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น